ไม่ได้จบด้านคอม ฯ โดยตรงหรือด้านที่เกี่ยวข้องเป็นโปรแกรมเมอร์ได้หรือไม่ ? นี่เป็นคำถามที่หลาย ๆ คนสงสัยและมักจะมีคำถามเหล่านี้ให้เห็นอยู่เสมอ ในบทความนี้จะขอเล่าเรื่องราวของคุณ Jessica
Chan ที่เธอจะมาแชร์ประสบการณ์ว่า เธอนั้นเรียนเขียนโค้ดอย่างไร โดยที่ไม่ได้จบปริญญาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์
(Computer Science) หรือด้านที่เกี่ยวข้องโดยตรงและหรือแม้แต่
Bootcamp ต่าง ๆ แถม Chan ยังเริ่มต้นเขียนโค้ดตอนเธออายุ 28 ด้วยซ้ำ ไม่มีคำว่าสายในการเรียนรู้อะไรจริง ๆ
โดยหวังว่าบทความนี้จะทำให้หลาย ๆ คนที่ไม่ได้เรียนมาตรงสาย แต่อยากทำงานเป็น developer หรือ programmer ได้รับแรงบันดาลใจหรือข้อคิดดี ๆ กันครับ
โดยปกติแล้ว developer หรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า dev จะหมายถึงคนที่พัฒนาซอฟต์แวร์ ยกตัวอย่างเช่นพัฒนาเว็บไซต์ เว็บแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่จะมีด้านที่เกี่ยวข้องคือ Back-end (Server Side) คือจะทำในส่วนของหลังบ้าน ซึ่งก็จะประกอบไปด้วยภาษาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเช่น PHP, Python, JavaScript (Node.js), Java, Go, Ruby เป็นต้น และ Front-end (Client Side) จะรับผิดชอบในส่วนของหน้าบ้านที่เกี่ยวกับการออกแบบประสบการณ์ของผู้ใช้งาน UX (User Experience) และหน้าอินเตอร์เฟส รูปร่างหน้าตาเว็บต่าง ๆ UI (User Interface) ซึ่งก็จะประกอบไปด้วยภาษา 3 ทหารเสือก็คือ HTML, CSS และ JavaScript หรือไม่ว่าจะทำทั้งหมดทั้งหน้าบ้านหรือหลังบ้านคือ Full Stack Developer ก็ว่ากันไป ซึ่งขอกล่าวถึง Developer ไว้ให้เข้าใจในบริบทนี้กันครับ ผิดพลาดประการใด ก็คอมเมนต์หรือแนะนำกันเข้ามาได้เลยนะครับ
คุณ Jessica Chan เล่าว่า เธอได้เริ่มในช่วงที่ตอนที่อยู่ high school (มัธยมปลาย) โดยเธอช่วงนั้นเธอได้รู้จักกับ
internet ใหม่ ๆ และเริ่มเรียนรู้ HTML และ CSS
ด้วยตัวเองเพื่อความสนุกล้วน ๆ โดยเว็บเพจที่เธอทำนั้นเกี่ยวกับด้านสโนบอร์ดที่เธอชื่นชอบ
...
เมื่อตัว Chan นั้นมองย้อนกลับไป เธอก็แอบตกใจว่าเล็กน้อยว่า ตอนนั้นเธอไม่ได้มีความคิดที่จะเรียนเกี่ยวกับ
Computer Science หรือด้านพัฒนาเว็บใด ๆ เลยในช่วงนั้น มันเป็นเพียงแค่งานอดิเรกเพียงเท่านั้นเอง
โดยแท้จริงแล้วตอนนั้นเธอกำลังวางแผนที่จะเรียนหมอเฉกเช่นเดียวกับที่พ่อแม่ของเธออยากให้เป็น
หลังจากที่เธอได้ดรอปเรียน และตัดสินใจเข้าเรียนเกี่ยวกับด้านศิลป์อย่างจริงจัง
และก็ได้ปริญญาเกี่ยวกับสาขาที่เกี่ยวข้องกับภาพถ่ายมา และก็ได้ทำงานเกี่ยวกับงานด้านภาพถ่าย
ช่วงนั้นเธอใช้เวลาปริ้นซ์ภาพในห้องมืด ๆ พร้อมกับละเลงการถ่ายภาพให้ลูกค้าของเธอ
...
ในแล็บนั้นเธอรู้สึกสนุกกับมัน แต่ค่าเหนื่อยก็ได้เพียงแค่ประมาณ
$US
8 ต่อชั่วโมง แต่ในตอนนั้นเธอก็ยังไม่รู้สึกอะไร
แต่จุดที่น่าจะเป็นจุดเปลี่ยน (Turning Point) สำหรับเธอจริง
ๆ นั้น น่าจะเป็นช่วงนั้นที่อุตสาหกรรมภาพถ่ายเริ่มเข้าสู่ช่วงหายนะ
จากการเข้ามา Disrupt ของกล้องดิจิทัลและโฟโตช็อปนั่นเอง
ในที่สุดเธอก็ได้พบกับงานด้านเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นการสแกนเอกสาร
เข้าเล่ม บรรจุซองจดหมายต่าง ๆ ฯลฯ เธอรู้ดีว่า นี่เป็นงานที่ไม่ได้ดูดีหรือเท่อะไร
แต่เอาแหละ ยังไงมันก็คืองานอยู่ดี
...
เธอใช้ชีวิตล่องลอยไปกับงานพาร์ทไทม์เหล่านี้ไปได้อยู่เป็นปี
ๆ และก็ไม่ได้มีเงินเก็บอะไรมากมาย เงินที่ได้ก็คือรับงานต่อเงิน
แต่มันมีงานหนึ่งที่ทำให้เธอเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล งานที่ว่ากำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้
ในวันหนึ่งขณะที่เธอกำลังทำความสะอาดโต๊ะทำงานอยู่
และได้พบว่ามีการประกาศรับสมัครงานเกี่ยวกับด้าน Data และตอนนั้นเธอรู้สึกว่า เธอชอบและคุ้นเคยกับงานด้านคอมพิวเตอร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ดังนั้นเธอจึงไม่รีรอที่จะคว้าโอกาสนี้และตัดสินใจสมัคร จากนั้นเกิดอะไรขึ้นรู้ไหมครับ
? ใช่แล้วครับ เธอได้รับการว่าจ้าง !!
...
โดยบริษัทนี้ก็เป็นบริษัทเล็ก ๆ เกี่ยวกับด้าน
web
development โดยรับพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ให้แก่ลูกค้า ในช่วงแรก
ๆ เธอได้ทำงานเกี่ยวกับงานด้านนำเข้าข้อมูล เช่นข้อมูลจาก excel เป็นต้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป บอสของเธอก็เริ่มที่จะสอนงานเธอในด้าน Backend
และได้มีการทำงานร่วมกับฐานข้อมูลโดยใช้ภาษา SQL
...
ค่าจ้างนั้นก็โอเครสำหรับเธอเลยครับ
ประมาณ $US10
– 12 ต่อชั่วโมง แต่มันก็ยังเป็นเพียงแค่งานพาร์ทไทม์
โดยเหตุผลหลักที่เธอยังคงทำงานอยู่นั่น ก็เพราะว่าเธอได้รับสกิลใหม่ ๆ
ที่มีคุณค่าอยู่ตลอดนั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้แหละที่มันอาจจะมีค่ามากกว่าเงินที่เธอได้รับในตอนนั้นครับ
เพราะว่ามันสามารถที่จะทำงานให้เธอมากมายในอนาคตได้
สำหรับเธอตอนนั้น การเรียนโปรแกรมมิ่งนั้นไม่ง่ายเลย แต่เธอคิดว่ามันคือรางวัลแห่งความพยายาม และเธอก็เริ่มที่จะเรียนรู้ได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างเช่น เรียนรู้ที่จะค้นพบวิธีการแก้ปัญหาใน Google
“บอสของฉันอาจจะรำคาญเป็นแน่ ถ้าฉันนั้นถามเขามากกว่า 1 ครั้ง”
เธอเล่าอีกว่า
“ซึ่งมันก็ยาก ดังนั้นฉันใช้เวลาในการพยายามที่จะค้นหาวิธีการแก้ปัญหาด้วยตัวเธอเอง
ก่อนที่จะถามหาความช่วยเหลือจากใคร ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนก่อน ทำนองนั้น”
หลังจาก 2 ปี กับงาน Craigslist job ตอนนั้นเธอรู้สึกแล้วว่า ตัวเองมีทักษะการเขียนโค้ดที่เพียงพอต่อการสมัครงาน web developer จริง ๆ เสียที
...
แน่นอนว่าเธอถูกปฏิเสธนับครั้งไม่ถ้วน เนื่องจากประสบการณ์ที่ไม่ได้มากมายอะไรของเธอในสายงานนี้ แต่ในท้ายที่สุด เธอได้สัมภาษณ์กับบริษัทเอเจนซี่ด้านโฆษณา
...
...
Imposter Syndrome คืออาการของคนที่ขาดความมั่นใจในตนเอง มีความกังวลว่าจะทำสิ่งนั้นได้ไม่ดี ซึ่งเธอก็ประสบกับอาการนี้แหละครับในช่วงนั้น โดยในช่วงปีแรกของงานนั้นน่าคร่ำเครียดมาก ๆ เธอติดอยู่กับการอาการนี้เป็นเวลานานพอสมควร
โดยทั้งบอสและเพื่อนร่วมงานของเธอนั้นล้วนแต่จบจากด้าน Computer
Science กันทั้งนั้น บางคนก็จบถึงระดับปริญญาโท (Master
Degree) ด้วยซ้ำ !! แต่เธอล่ะ ?
...
ห้วงเวลานั้นเธอรู้สึกหวั่น ๆ ในใจว่าอาจจะถูกไล่ออกเป็นได้ในสักวัน เนื่องจากขาดความสามารถ และไม่ได้ช่วยงานได้เท่าที่ควร เพราะว่างานที่เธอได้รับล้วนเป็นงานใหม่ ๆ ที่เธอไม่เคยได้ทำมาก่อน
“ฉันอาจจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในบางงาน ในขณะที่บอสของฉันนั้นอาจจะใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาที หรือน้อยกว่า ส่วนตัวแล้ว ฉันเกลียดการที่ทำอะไรได้ไม่ดีในสิ่งนั้น และรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวฉันเองนั้นไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ในแทบจะทุก ๆ วันที่ฉันต้องติดอยู่กับสิ่ง ๆ นี้”
เธอย้ำอีกครั้งว่า
เธอติดอยู่กับปัญหาและสิ่ง ๆ หนึ่งที่เธอทำประจำก็คือเข้า Google
หาวิธีแก้ไขนี่แหละ เธอหาวิธีแก้ไขด้วยตัวเธอเองประจำก่อนที่จะขอความช่วยเหลือจากใคร
และเธอยังได้ขอบคุณบอสของเธอด้วยที่ช่วยชี้ทางให้ เมื่อเธอประสบปัญหา
กาลเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เธอใช้เวลาอยู่ที่นั่นเป็นเวลาทั้งสิ้น 6 ปี และเวลานั้นเธอได้กลายเป็นคนใหม่ที่มีความสามารถและมีความมั่นใจอย่างแรงกล้า ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็น senior developer ในช่วงเวลาของปีที่ 4
เธอได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายจากงานนั้น ไม่เพียงแค่การเขียนโค้ดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณคือคนที่เรียนรู้ด้วยตัวเอง (Self-taught) เช่นกำลังเรียนเขียนโค้ด นี่คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับเธอที่เธอจะแชร์
“อย่างแรก ฉันเรียนรู้วิธีการในการแก้ปัญหา
โดยการใช้ Google แน่นอนว่าคุณอาจจะไม่สามารถสร้างแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนได้
ถ้าคุณยังคงเรียนรู้เพียงแค่พื้นฐาน HTML”
หนึ่งในบทเรียนที่ยิ่งใหญ่สุดสำหรับเธอนั้น ก็คือช่วงเวลาที่เธอเป็น imposter syndrome แต่เมื่อเวลาผ่านทุกอย่างก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ
...
ในท้ายที่สุด ก็ถึงเวลาที่จะต้อง Say
goodbye งานนั้น ดังเฉกเช่นวลีหนึ่งที่ว่า “งานเลี้ยง
ย่อมมีวันเลิกรา” แต่ว่าเธอก็ยังคงทำงานในฐานะ web
developer อยู่เหมือนเดิมครับ และก็ได้รับผลตอบแทนอยู่ในระดับ 6
หลัก (ดอลล่าห์ ตีเป็นเงินไทยก็หลักล้าน) มันช่างเป็นหนทางที่แสนยาวไกล แต่ว่ามันก็รู้สึกน่าพอใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับเธอ
และเธอก็ทิ้งท้ายด้วยคำว่า
“ฉันหวังว่าเรื่องราวของฉันนั้นจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คุณได้
ถ้าคุณกำลังคิดที่จะทำงานเกี่ยวกับด้าน web development”
หลังจากอ่านเรื่องราวของคุณ Jessica
Chan จบ ขอสรุปสิ่งต่าง ๆ ตามไทม์ไลน์ ไว้ดังนี้
เห็นแล้วใช่ไหมครับว่า ถึงไม่ได้จบด้านคอมพิวเตอร์มาโดยตรง แถมยังเริ่มตอนอายุเกือบจะ 30 ก็ไม่เป็นปัญหา และยังสามารถที่จะฟันฝ่าข้อจำกัดต่าง ๆ ไปได้ ชนะใจตัวเอง หมั่นฝึกฝนพัฒนาทักษะ และสุดท้ายได้เข้าทำงานเป็น developer สมใจอยาก ที่สำคัญยิ่งในยุคนี้การเรียนรู้ไม่มีขีดจำกัด แหล่งข้อมูลชั้นยอด Tutorials, บทความ คอร์สออนไลน์ด้านโปรแกรมมิ่งต่าง ๆ มีอยู่ทั่วไปในอินเทอร์เน็ตให้เราได้ศึกษาเรียนรู้ และยังมีหลาย ๆ บริษัทที่เปิดโอกาสให้คนที่ไม่ว่าจะจบด้านไหนก็สามารถเข้าทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ได้ ถ้าคุณมีความสามารถมากพอ
Reference
[FreeCodeCamp] - How I learned to code without a CS degree or bootcamp
Cover Photo
กิจกรรมที่กำลังจะมาถึง
ไม่พลาดกิจกรรมเด็ด ๆ ที่น่าสนใจ
Event นี้จะเริ่มขึ้นใน April 25, 2023
รายละเอียดเพิ่มเติม/สมัครเข้าร่วมคอร์สเรียนไพธอนออนไลน์ที่เราได้รวบรวมและได้ย่อยจากประสบการณ์จริงและเพื่อย่นระยะเวลาในการเรียนรู้ ลองผิด ลองถูกด้วยตัวเองมาให้แล้ว เพราะเวลามีค่าเป็นอย่างยิ่ง พร้อมด้วยการซัพพอร์ตอย่างดี